วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรคข้อเข่าเสื่อม ข้อเสื่อม ปวดข้อ และจ้อนท์แคร์ (jontkare)

                     
ทำไมโรคข้อเสื่อมจึงเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพ  


      ปัจจุบันได้มีการแบ่งโรคข้อเสื่อมตามสาเหตุและปัจจัยเสริม ออกเป็น 2 ประเภทคือ ข้อเสื่อมชนิดปฐมภูมิ (primary) เป็นอาการข้อเสื่อมที่ไม่สามารถระบุสาเหตุหรือปัจจัยเสริมได้ชัดเจน และพบบ่อยที่สุด ส่วนข้อเสื่อมชนิดทุติยภูมิ (secondary) เกิดจากสาเหตุทางเมตาบอลิก เช่น โรคเก๊าท์เทียม ข้อเสื่อมจากการบาดเจ็บ และข้อเสื่อมจากโรคข้อเรื้อรัง เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ แต่โรคข้อเสื่อมทั้งสองประเภทนี้จะมีอาการและอาการแสดงที่คล้ายคลึงกัน

    สาเหตุของโรคข้อเสื่อม
   1. โรคข้อเสื่อมที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยทั่วไป (constitutional factors) เช่น พันธุกรรม เพศ อายุที่มากขึ้น น้ำหนักตัว เป็นต้น ซึ่ง
พบว่า เพศหญิงมีโอกาสเกิดข้อเสื่อมมากกว่าเพศชายถึง 2 เท่า โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือช่วงวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากขาดฮอร์โมนเพศเอสโตรเจน (estrogen) ส่งผลให้เซลล์กระดูกอ่อนที่มีตัวจับกับฮอร์โมนเพศหญิงทำงานน้อยลง ทำให้การสร้างโปรติโอไกลแคน (proteoglycan) ที่ใช้ซ่อมแซมเซลล์กระดูกอ่อนลดลง หากสตรีวัยหมดประจำเดือนที่ได้รับยาฮอร์โมนเอสโตรเจนทดแทน จะช่วยลดโอกาสเกิดข้อเข่าและข้อสะโพกเสื่อมได้
จากการศึกษาพบว่า มากกว่าร้อยละ 80 ของผู้ที่มีอายุมากกว่า 75 ปีจะเป็นโรคข้อเสื่อม  ถ้านำผู้สูงอายุกลุ่มดังกล่าวมาถ่ายภาพเอกซเรย์ก็จะพบข้อเสื่อมทุกราย แต่จะมีอาการหรือไม่นั้นก็ขึ้นกับปัจจัยอื่นอีก  เมื่ออายุมากขึ้นการตอบสนองต่อสารกระตุ้นการเจริญเติบโต (growth factor) จะลดลง การสังเคราะห์โปรติโอไกลแคนไม่สมบูรณ์ มีโปรตีนเชื่อมต่อน้อยลง และอายุที่มากขึ้นยังทำให้เซลล์กระดูกหมดอายุขัยเร็วขึ้น รวมถึงการสร้างและการซ่อมแซมเซลล์กระดูกอ่อน (chondrocyte) ลดลง

ความอ้วน บุคคลที่มีน้ำหนักมากหรือมีค่าดัชนีมวลกาย (body mass index, BMI) สูงกว่าปกติจะมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคข้อเข่าเสื่อมเพิ่มขึ้น เนื่องจากข้อเข่าเป็นจุดรับน้ำหนักของร่างกาย เมื่อน้ำหนักเพิ่มขึ้นแรงที่กดลงบนผิวข้อก็จะเพิ่มขึ้น และเนื่องจากข้อเข่าเป็นข้อที่ใช้ในการทรงตัวมากที่สุด ดังนั้นเมื่อใช้งานข้อเข่าอย่างหนักเช่นขึ้นลงบันไดมาก แบกของหนัก จะยิ่งเพิ่มแรงกดลงที่ข้อเข่า นอกจากนี้น้ำหนักที่มากเกินไปยังมีผลต่อท่าทางการเดิน ทำให้เข่าโก่งออกทำให้เวลาเดินจะเจ็บข้อเข่าด้านในได้

      2. โรคข้อเสื่อมที่มีสาเหตุมาจากปัจจัยเฉพาะที่ (local adverse mechanical factors) เช่น ตำแหน่งของข้อ การบาดเจ็บที่ข้อ ตำแหน่งของข้อ มีผลอย่างมากเนื่องจากเป็นบริเวณที่ต้องรับน้ำหนัก เช่นข้อเข่า ข้อเท้า ข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อสะโพก  แต่ละข้อมีเอนไซม์และการตอบสนองต่อการอักเสบต่างกัน สารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบที่สำคัญคือสารไซโตไคน์ (cytokine) โดยพบว่าที่เซลล์กระดูกอ่อนข้อเข่ามีตัวรับไซโตไคน์ ชนิดอินเตอร์ลิวคิน 1 (interleukine 1, IL- 1) และเอนไซม์ MMP-8 มากกว่าที่ข้อเท้า ดังนั้นข้อเข่าจึงมีโอกาสเสื่อมมากกว่าที่ข้อเท้า

การบาดเจ็บ เป็นจุดเริ่มต้นของข้อเสื่อม โดยอาจเริ่มจากบาดเจ็บเล็กน้อยและซ้ำซาก ซึ่งใช้ระยะเวลานานพอสมควรกว่าจะกลายเป็นข้อเสื่อม การบาดเจ็บทำให้หลอดเลือดที่ไปเลี้ยงภายในข้อลดลง ทำให้สารอาหารถูกดูดซึมเข้ามาใช้ซ่อมแซมลดลง นอกจากนี้อาจเกิดรอยร้าวเล็กๆ (microfracture) บริเวณรอยต่อระหว่างกระดูกกับกระดูกอ่อนและมีหินปูนมาจับบริเวณรอยต่อดังกล่าว (subchondral bone sclerosis หรือ spur หรือ osteophyte) นอกจากนี้อาจพบโพรงน้ำภายในกระดูกที่อยู่ใต้กระดูกอ่อน (subchondral bone cyst) สิ่งเหล่านี้ทำให้ความยืดหยุ่นของข้อลดลง รับแรงกระแทกได้น้อยลง เมื่อเป็นเรื้อรังจะทำให้โครงสร้างของข้อผิดรูปไปจากปกติ และทำให้เกิดอาการปวด รวมถึงมีปัญหาในการใช้งานข้อนั้นๆ

ปัจจัยเฉพาะที่อื่นๆ ที่ทำให้เกิดข้อเสื่อมได้ เช่น อาชีพที่เกี่ยวข้องกับการใช้ข้อ โครงสร้างพื้นฐานของข้อในแต่ละบุคคล เช่น โครงสร้างของเส้นเลือด ความสามารถในการซ่อมแซมตัวเอง เป็นต้น
       อาการแสดงของโรคข้อเข่าเสื่อม
      โรคข้อเข้าเสื่อมมีอาการแสดงโดยร่วม คือ อาการบวมปวด ฝืดตึงข้อตอนเช้า ปวดเสียดในข้อ อาจได้ยินหรือรู้สึกกุบกับภายในข้อ มักมีอาการมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือหลังการใช้งานข้อมากขึ้น อาการปวดมักดีขึ้นหลังหยุดใช้งาน แต่ในรายที่เป็นมากแม้ว่าจะหยุดใช้งานข้อดังกล่าวแล้วอาการปวดอาจคงอยู่ได้หลายชั่วโมง รายที่มีอาการอักเสบบ่อย ผิวข้อจะแคบลงโดยเห็นได้จากภาพเอกซเรย์ และทำให้ข้อผิดรูป เช่น เข่าโก่ง จนทำให้ใช้งานข้อนั้นได้ไม่เหมือนปกติ แต่ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกัน ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้เกิดข้อเสื่อมด้วย เช่น การบาดเจ็บจากเล่นกีฬา การที่เคยเป็นโรคข้ออักเสบอื่นมาก่อน เช่น ข้ออักเสบจากผลึกเกลือ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ บางรายเกิดจากการใช้งานมากเกินไปหรือใช้งานผิดประเภท และปัจจัยส่วนบุคคล เช่น เพศ อายุ น้ำหนักตัว ความแข็งแรงของระบบกล้ามเนื้อเส้นเอ้นที่พยุงข้อ ก็มีผลให้อาการและความรุนแรงในแต่ละคนไม่เท่ากัน

การตรวจข้อของผู้ป่วยทำให้แพทย์สามารถยืนยันการวินิจฉัยและประเมินระดับความรุนแรง รวมถึงการแยกโรคข้ออักเสบเรื้อรังอื่นได้ การตรวจพบว่าข้อบวมใหญ่ขึ้น มีน้ำในข้อกระดูก หรือข้อผิดรูปเช่นลักษณะโก่งเข้า (varus) หรือโก่งออก (valgus) ซึ่งพบบ่อยที่ข้อเข่า รองลงมาคือข้อนิ้วมือ (Heberden’s & Bouchard’s node) และข้อต่อบริเวณฐานของข้อนิ้วหัวแม่มือ (carpometacarpal joint) ข้อสะโพก ข้อนิ้วโป้งเท้า ข้อกระดูกสันหลังและกระดูกคอ ซึ่งอาการดังกล่าวข้างต้นแล้ว บางครั้งเมื่อขยับหรือกดที่ข้อจะรู้สึกเจ็บปวดได้ อาจได้ยินเสียงกุบกับ (crepitus) และสัมผัสได้ว่าผิวข้อเสียดสีกัน บางครั้งตรวจได้ว่าเอ็นหรือกล้ามเนื้อรอบข้อ มีความตึงเกร็ง หรือบางรายอาจจะหย่อนกว่าปกติ

          จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้
ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น   โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

ปวดข้อ โอเมก้า 3 (Omega-3) และจ้อนท์แคร์ (jontkare)

    ประโยชน์ของ Omega-3 ใน จ้อนท์แคร์ (jontkare)

       กรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 เป็นกรดไขมันชนิดไม่อิ่มตัว ถือว่าเป็นสารอาหารที่สำคัญยิ่งต่อร่างกาย ส่วนใหญ่กรดไขมันกรดไขมันชนิดโอเมก้า-3 พบได้ในไขมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันปลา เป็นแหล่งจากธรรมชาติที่พบมากและมีคุณภาพดี


   ทางการแพทย์ได้มีการยืนยันถึงประโยชน์ที่สำคัญของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่อร่างกายในการลดความเสี่ยงหรือป้องกันการเกิดโรคต่างๆ เช่น
1.ป้องกัน โรคหัวใจและสมองขาดเลือด
2. ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ลดความดันโลหิต
3. ช่วยบรรเทาอาการอักเสบของข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์
4. ช่วยบำรุงสมอง ป้องกันความเสื่อมของสมอง โรคซึมเศร้า และบำรุงสายตา
5. บรรเทาอาการของโรคผิวหนังบางชนิด เช่น สะเก็ดเงิน โรคเรื้อนกวาง
6. ป้องกันหรือบรรเทาโรคหอบหืด
7. บรรเทาอาการปวดไมเกรน 
8. ป้องกันเบาหวาน

  กรดไขมันในกลุ่ม Omega-3 มีกรดไขมัน( Polyunsaturated Fatty Acid )ที่สำคัญอยู่ 2 ชนิด คือ
1. Eicosapentaenoic Acid (EPA) กรดไขมันชนิดนี้ มีส่วนช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันไขมันอุดตันหลอดเลือด ป้องกันการเกาะตัวของเกล็ดเลือด ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุในการเกิดโรคหัวใจและสมองอุดตัน
2. Docosahexaenoic Acid (DHA) กรดไขมัน DHA มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อการพัฒนาสมองและสายตา ช่วยเสริมสร้างและป้องกันความเสื่อมของสมอง การเรียนรู้ และความจำ รวมถึงระบบสายตา ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ 

โอเมก้า-3 (Omega-3)มีความสำคัญต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
1. ป้องกันโรคหัวใจและสมองขาดเลือด น้ำมันปลาจะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือดและลดไขมันในเลือด จึงช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ โดยเฉพาะหัวใจและสมอง ซึ่งจากผลการวิจัยพบว่ากลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจที่รับประทานน้ำมันปลาวันละ 3,000 มิลลิกรัม ร่วมกับวิตามินอีธรรมชาติ 200-400 ยูนิต สามารถลดอัตราการตายเนื่องจากหัวใจล้มเหลวลง 15% เมื่อเทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับประทานน้ำมันปลา
2. ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน กรดไขมันโอเมก้า-3 ในน้ำมันปลา เป็นสารตั้งต้นของสารกลุ่มไอโคซานอยด์ (Eicosanoids) อันได้แก่ พรอสตาแกลนดิน-3 (Prostaglandins-3) และทรอมบอกแซน-3 (Thromboxan-3) ซึ่งสารกลุ่มนี้จะช่วยยับยั้งการเกาะตัวของเกล็ดเลือด จึงมีส่วนช่วยป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้ระบบการไหลเวียนของเลือดในร่างกายดีขึ้น ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ
3. ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงในเลือด ถือได้ว่าเป็นสาเหตุหนึ่งที่สำคัญในการก่อให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นโรคที่ได้คร่าชีวิตประชากรโลกปีละหลายแสนคน หรือปีละหลายพันคนสำหรับประชากรไทย ซึ่งจากการที่ได้มีการรวบรวมผลการศึกษาทางการแพทย์เกี่ยวกับภาวะไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูงและการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดของน้ำมันปลา  ซึ่งจากผลการวิจัยสรุปว่าน้ำมันปลาจะมีประสิทธิภาพที่ดีในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ได้ประมาณ 20%-50% ซึ่งประสิทธิภาพเทียบเท่ากับยาที่ใช้ในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ และถึงแม้ว่าผู้ป่วยที่มีระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์สูงถึง 500 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร น้ำมันปลาก็ยังเป็นทางเลือกที่เหมาะสม เพื่อช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดได้เป็นอย่างดี และที่สำคัญ คือ ความปลอดภัย ไม่มีผลข้างเคียงต่อร่างกายสามารถใช้ร่วมกับยา ในการลดระดับไขมันโคเลสเตอรอล สำหรับผู้ที่มีไขมันในเลือดสูงทั้ง 2 ชนิด
4. ลดความดันโลหิตสูง ผลในการลดความดันโลหิต สำหรับผู้ป่วยความดันโลหิตสูงไม่มาก ซึ่ง John Hopkins Medical School ได้สรุปรวบรวมผลการศึกษาจาก 17 รายงานการศึกษาทางคลีนิค พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาประมาณ 3,000 มิลลิกรัมต่อวัน สามารถช่วยลดความดันล่าง (Diastolic pressure) ได้ 3.5 มิลลิเมตร และความดันบน (Systolic pressure) ได้ถึง 5.5 มิลลิเมตรปรอท เนื่องจากกรดไขมันโอเมก้า-3ในน้ำมันปลา จะช่วยทำให้หลอดเลือดขยายตัว และป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น จึงมีผลให้ความดันโลหิตลดลง โดยน้ำมันปลาจะไม่มีผลต่อความดันในผู้ที่มีความดันโลหิตปกติ
5. ลดอาการข้อเสื่อม ข้อรูมาตอยด์ รายงานเกี่ยวกับน้ำมันปลาต่ออาการข้อเสื่อม (Osteoarthritis) และข้อรูมาตอย์ (Rheumatoid arthritis) พบว่าน้ำมันปลามีผลลดการสร้างสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบของข้อ เช่น Interleukin-1, Tumor necrosis factor และ EPA (Eicosapentaenoic Acid) ในน้ำมันปลา ยังเป็นสารตั้งต้นในการสร้างสาร PGE 3 ซึ่งช่วยลดอาการอักเสบของข้อ โดยรายงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Surgical Neurology ระบุว่าน้ำมันปลาสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดคอ หรือปวดหลังเรื้อรัง โดยทำการศึกษากับผู้ป่วย 250 คน รับประทานน้ำมันปลาวันละ 2.6 กรัม ในช่วง 2 สัปดาห์แรก หลังจากนั้นลดปริมาณลงเหลือวันละ 1.2 กรัม พบว่าหลังจากรับประทานน้ำมันปลา 75 วัน ผู้ป่วยประมาณ 59% สามารถเลิกรับประทานยาแก้ปวดต่างๆ ผู้ป่วยประมาณ 60% พบว่าอาการปวดหลังและปวดคอลดลง และผู้ป่วยกว่า 88% รู้สึกพึงพอใจกับผลที่ได้รับและยืนยันที่จะรับน้ำมันปลาต่อ
             Harvard Medical School ได้ทำการรวบรวมผลการศึกษาจาก 10 การศึกษา ในผู้ป่วยไขข้ออักเสบ 368 ราย ที่รับประทานน้ำมันปลา พบว่าช่วยลดอาการเจ็บและข้อติดตรึงในตอนเช้า
           การรับประทาน โอเมก้า-3 (Omega-3)จึงเป็นทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับข้อเสื่อม ข้ออักเสบเรื้อรังเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด แทนที่การรับประทานยาแก้ปวด NASIDs ซึ่งจะมีผลข้างเคียงต่อกระเพาะอาหาร ตับ และไตค่อนข้างมาก
 6. ลดเซลล์สมองเสื่อม ป้องกันโรคสมองเสื่อม จากการศึกษาพบว่า 40% ของกรดไขมันในสมอง และ 60% ของกรดไขมันในประสาทตา คือ  DHA (Docosahexaenoic Acid) ทำให้กรดไขมัน DHA ในน้ำมันปลา มีบทบาทที่สำคัญและจำเป็นต่อสมอง ผลวิจัยทางการแพทย์จากมหาวิทยาลัย UCLA ของอเมริกา พบว่าการรับประทานน้ำมันปลาช่วยป้องกันสมองเสื่อมหรือโรคอัลไซเมอร์ (Azheimer) ได้ เนื่องจากการศึกษาเกี่ยวกับโรคอัลไซเมอร์ในคนสูงอายุกว่า 1,000 คน เป็นเวลา 10 ปี พบว่าระดับ DHA ที่ลดต่ำลงก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสมองเสื่อม
และยังพบว่าสำหรับคนไข้อัลไซเมอร์ DHA จะช่วยเพิ่มสาร LH11ซึ่งเป็นโปรตีนที่เป็นตัวช่วยลดการเกิดการสร้าง plaques (เส้นใย หรือ ไฟบริล) ในสมอง ซึ่งเป็นตัวการที่ทำลายใยประสาทส่วนความจำ คนสูงอายุที่มีการสร้างสารนี้เยอะจะทำให้ความจำเสื่อม และหลงลืม
 7.ลดภาวะซึมเศร้า จากการวิจัยพบว่าผู้ที่บริโภคปลาเป็นประจำอย่างต่อเนื่อง มีอัตราเป็นโรคซึมเศร้าต่ำ เพราะสมดุลของกรดไขมันในร่างกายมีผลต่อความรุนแรงในการเกิดโรคซึมเศร้า คนที่มีระดับของกรดไขมันโอเมก้า-3 ต่ำ และโอเมก้า-6 สูง จะมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้ามากกว่าปกติ ซึ่งการรักษาคนไข้ซึมเศร้าในโรงพยาบาลพบว่า DHA ให้ผลในการรักษาอย่างมีนัยสำคัญ

โอเมก้า-3 (Omega-3)ประโยชน์ต่อสุขภาพ
1. เบาหวาน เบาหวานที่พบบ่อย คือ เบาหวานชนิดที่สองที่มักพบในผู้ใหญ่ที่อ้วน ซึ่งนักวิจัยชาวเนเธอร์แลนด์ค้นพบว่า กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะช่วยควบคุมน้ำตาลในเลือดให้ดีขึ้นในผู้ป่วยเบาหวาน
2. ปวดไมเกรน กรดไขมัน EPA ในน้ำมันปลา จะมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงของสารพรอสตาแกลนดิน และลดการหลั่งสารซีโลโทนิน ทำให้การเกาะตัวของเกร็ดเลือดลดลงในระยะที่มีการบีบตัวของหลอดเลือดในสมองลจึงมีส่วนช่วยลดอาการไมเกรนได้
3. หอบหืด การรับประทานน้ำมันปลาจะช่วยลดสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบ ที่เป็นตัวการสำคัญให้เกิดอาการของหอบหืดขึ้น คือ สารลิวโคไตรอิน และพรอสตาแกลนดิน ดังนั้นการรับประทานนักมันปลาอย่างต่อเนื่องจากช่วยบรรเทาอาการหอบหืดได้

       ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง
     การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ในรายที่อ้วยมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้
     

   จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

ปวดข้อ บลูเบอร์รี่ และจ้อนท์แคร์ (jontkare)


สรรพคุณและประโยชน์ของบลูเบอร์รี่ใน จ้อนท์แคร์(jontkare)




       บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ร่างกายต้องการ วิตามินและแร่ธาตุ เพื่อช่วยทำให้เซลล์ในร่างกายสามารถซ่อมแซมตัวเองจากโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น รวมทั้งการรักษาบาดแผล การป้องกันโรคมะเร็ง 
1. ลดการเป็นโรคเลือดออกตามไรฟัน และโรคเก๊าท์หรืออาการปวดตามข้อ 
2. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บลูเบอร์รี่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ให้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดการอักเสบของหลอดเลือดอันเป็นสาเหตุของโรคหัวใจ โรคทางประสาทและสมอง ช่วยป้องกันการเสื่อมของร่างกายและชะลอความแก่ชรา ฟื้นฟูการสร้างคอลลาเจนที่ผิว ทำให้ผิวแลดูอ่อนเยาว์ ริ้วรอยดูลบเลือนลง ทำให้ผิวดูอ่อนกว่าวัย และอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ด้วย (ข้อมูลของ USDA หรือ สถาบันวิจัยโภชนาการทางด้านสรีระศาสตร์ ได้ระบุว่าบลูเบอร์รี่จัดเป็นผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงที่สุด ซึ่งผลจากการทดสอบค่าที่เรียกว่า “ORAC” (Oxygen Radical Absorbance Capacity) ได้แสดงให้เห็นว่าบลูเบอร์รี่สดจะมีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าผลไม้สดและผักชนิดอื่น)
3. ช่วยบำรุุงระบบประสาทและสมอง ช่วยทำให้เซลล์สมองสามารถซ่อมแซมตัวเองได้ดีขึ้น ทำให้ความสามารถในการจำของเราดีขึ้น ป้องกันโรคอัลไซเมอร์ รักษาเซลล์สมองที่ถูกทำลาย โดยมีรายงานว่า ผศ.โรเบิร์ต คริโคเรียน แห่งศูนย์สุขภาพ มหาวิทยาลัยซินซินเนติในสหรัฐ ได้ทำการทดลองให้ผู้สูงอายุที่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ ได้ดื่มน้ำบลูเบอร์รี่คั้นสดวันละ 2 แก้ว เป็นเวลา 3 เดือนติดต่อกัน ผลการทดลองพบว่า ผู้สูงอายุเหล่านั้นมีความทรงจำที่ดีขึ้น จึงเชื่อว่าผลบลูเบอร์รี่ดิบๆ จึงน่าจะมีประโยชน์ต่อผู้ป่วยโรคความจำเสื่อมด้วย


4. บลูเบอร์รี่เป็นอาหารเสริมที่ดีสำหรับผู้ป่วยโรคหัวใจ เพราะช่วยทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง
5. บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ประกอบอยู่ โดยเป็นสารจำพวกฟลาโวนอยด์ที่มีสีแดงอมม่วง สารนี้มีประโยชน์ช่วยทำให้หลอดเลือดแข็งแรง ช่วยทำให้การไหลเวียนของเลือดในระดับที่เล็กมากขึ้น และช่วยในการทำงานของกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์เรตินา
6.ช่วยให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรงบลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีสารแอนโทไซยาโนไซด์ (Anthocyanosides) เป็นสารที่มีคุณสมบัติเทียบได้กับสารไบโอฟลาโวนอยด์ สามารถช่วยทำให้เส้นเลือดฝอยแข็งแรง ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ และสารชนิดนี้ยังเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการทำงานของไต และช่วยรักษาผู้ที่มีเส้นเลือดฝอยเปราะในอวัยวะที่ทำหน้าที่กรองของเสีย และสารแอนโธไซยาโนไซด์ชนิดหนึ่งคือสาร ไมร์ทิลลิน (Myrtliiln) เป็นสารสีน้ำเงินที่มีคุณสมบัติต่อต้านเชื้อแบคที่เรียได้ด้วย
7. สารแอนโทไซยานินที่พบได้มากในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่รวมถึงบลูเบอร์รี่ มีส่วนช่วยในการป้องกันอาการอ่อนล้าจากการใช้สายตาหนัก ช่วยทำให้สายตาทำงานได้ดีขึ้นในที่มืด และยังช่วยป้องกันต้อกระจก ต้อหิน ต้อลม ช่วยลดความดันในลูกตา และลดความเจ็บปวดจากการบวมในลูกตา โดยข้อมูลจาก Archives of Ophthalmology ชี้ว่าการรับประทานบลูเบอร์รี่วันละ 3 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงของโรคตาที่เกิดในวัยผู้ใหญ่ได้ด้วย
8. ช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า
9. ช่วยให้ระบบการย่อยอาหารและทำให้การขับถ่ายของร่างกายทำงานได้เป็นระบบมากขึ้น จึงช่วยป้องกันโรคท้องผูกและลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ได้
10.ช่วยรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และตับ บลูเบอร์รี่มีสาร Pterostilbene ที่ช่วยรักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่และตับ และยังมีกรด Ellagic ที่ทำงานควบคู่กับแอนโทไซยานิน และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่ป้องกันมะเร็ง โดยผลการวิจัยของ Journal of Agricultural and Food Chemistry ชี้ว่าบลูเบอร์รี่มีสารที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ และช่วยฆ่าเซลล์มะเร็งด้วย
11. ในเรื่องของระบบปัสสาวะ แบคทีเรียอีโคไลที่ผนังท่อทางเดินปัสสาวะเป็นสาเหตุของการติดเชื้อที่มีผลทำให้เกิดอาการอักเสบและรู้สึกแสบในขณะปัสสาวะ บลูเบอร์มีสารที่ทำให้แบคทีเรียชนิดนี้หยุดการเจริญเติบโต และช่วยล้างแบคทีเรียออกจากทางเดินปัสสาวะ
12.ลดความอ้วน  สำหรับผู้ที่กำลังหาวิธีควบคุมน้ำหนักหรือลดความอ้วนแบบง่ายๆ แต่ได้ผล แนะนำให้รองรับประทานบลูเบอร์รี่ เพราะผลไม้ชนิดนี้เป็นแหล่งของพลังงานชั้นยอดที่มีแคลอรี่ต่ำ ไม่ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้น เพราะมีเส้นใยอาหารที่ช่วยทำให้เรารู้สึกอิ่มเร็วและอิ่มนานกว่าเดิม
13.ช่วยในการลดระดับของคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด บลูเบอร์รี่มีสารเพคตินที่สามารถช่วยในการลดระดับของคอเลสเตอรอล ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
14.ช่วยลดไขมันหน้าท้อง และความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ จากการศึกษาของศูนย์หัวใจและหลอดเลือด มหาวิทยาลัยมิชิแกน ได้แสดงให้เห็นว่าบลูเบอร์รี่อาจช่วยลดไขมันหน้าท้อง และความเสี่ยงของการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจได้ โดยพบว่าหนูทดลองที่รับประทานผงบลูเบอร์รี่ผสมในอาหารของหนู เป็นระยะเวลา 90 วัน มีไขมันหน้าท้องน้อยลง และระดับไตรกลีเซอไรด์ลดลง
15.ช่วยล้างพิษในร่างกาย บลูเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่เป็นตัวต่อต้านสารพิษ และช่วยล้างพิษในร่างกาย
16.ช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส  วิตามินซีในผลบลูเบอร์รี่จะช่วยในการบำรุงผิวพรรณให้สดใส เปล่งปลั่ง และแก้มแดงมีเลือดฝาด

   สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ มีอยู่ใน จ้อนท์แคร์ (jontkare)

       ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง
     การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ในรายที่อ้วนมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้


          จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น

โทร. 088 415 3926

ID Line :  bua300908

อีเมล์      sboonmuen@gmail.com    

ปวดข้อ วิตามินซี (Vitamin C) และจ้อนท์แคร์ (jontkare)


 ประโยชน์ของวิตามิน ซี(Vitamin C)ใน จ้อนท์แคร์(jontkare)




วิตามิน ซี (Vitamin C) มีประโยชน์ต่อร่างกายในหลายด้าน ได้แก่
       1.ช่วยต้านทานอนุมูลอิสระ  วิตามินซี รู้จักกันแบบทั่วไปว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) สามารถช่วยชะลอความแก่และริ้วรอยของวัยต่างๆได้ ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระจะช่วยกำจัดอนุมูลอิสระในร่างกาย หาก เปรียบอนุมูลอิสระเป็นเหมือนไฟที่คอยเผาผลาญสร้างความเสียหายให้ร่างกาย สารต้านอนุมูลอิสระก็จะเหมือนกับตัวดับเพลิง สามารถต่อต้านการทำลายเหล่านี้ได้ รวมถึงช่วยปกป้อง ดวงตา ควบคุมคอเลสเตอรอลในเลือดได้อีกด้วย วิตามินซีที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระนี้ยังช่วยลดธาตุเหล็กให้อยู่ในระดับที่พอดีในลำใส้ เพื่อที่ร่างกายจะได้ดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น 
      คนสูบบุหรี่และคนที่สัมผัสกับมลภาวะเป็นพิษบ่อยๆเช่น คนที่เดินทางด้วยรถเมล์คือคนที่ได้อนุมูลอิสระที่มากกว่าคนธรรมดา ดังนั้น ควรกินวิตามินซีให้มากกว่าคนธรรมดา 
     2.การสร้างคอลาเจน วิตามินซี เป็นสิ่งจำเป็นในการสร้างคอลาเจน ซึ่งเ่ป็นโปรตีนที่ช่วยซ่อมแซมร่างกายและกระดูกรวมไปถึงบำรุงผิวพรรณให้ดี
       คนที่ขาดวิตามินซีจะมีอาการเลือดออกตามไรฟัน ส่วนคนที่สภาพเสียฟัน มีเลือดออกได้ง่าย และกระดูกไม่มีคามแข็งแรงนั่นคือคนที่ขาดวิตามินซี แต่ปัญหาเหล่านี้แก้อย่างง่ายดายได้โดยการกินมะนาววันละลูก 
    3.บำรุงสมอง วิตามินซีช่วยในการสร้างสื่อประสาทให้มากยิ่งขึ้น นั้นหมายถึงการรับรู้ ความคิด และคำสั่ง ในสมองของเราจะดียิ่งขึ้น โดยเราต้องการวิตามินซีในการสร้าง Serotonin เป็นสื่อประสาทที่ใช้ในการรักษาโรคซึมเศร้า วิตามินซีจากอาหารและอาหารเสริมทั่วไปอาจจะไม่ได้ผลในส่วนนี้ แนะนำให้รับวิตามินซีจากผลไม้สดและพักต่างๆเพื่อให้สื่อประสาทส่วนนี้ทำงานได้ดีขึ้น(อารมณ์ดีขึ้น) นอกจากนี้ วิตามินซี ยังมีผลต่อ
         1.ลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งชนิดเกี่ยวกับปากและอก เฉพาะวิตามินซีในผักและผลไม้สดเท่านั้น
           2.รักษาไข้หวัดได้ ช่วยลดระยะเวลาในการเป็นไข้หวัดเหลือ 1-1.5 วัน(หายเร็วขึ้น) แต่ไม่สามารถป้องกันไข้หวัดได้
            3.ลดความดันโลหิตสูงได้ (เฉพาะตัวเลขบน)
            4.ป้องกันผิวใหม้จากแดด ต้อง วิตามินซีคู่กับวิตามินอี ถึงจะกันได้ หากเป็นวิตามินซีอย่างเดียวกันไม่ได้
            5.ลดความเสี่ยงของโรคถุงน้ำดี สำหรับผู้หญิง ผู้ชายยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัด
           6.ชะลอความเสื่อมของโรคข้อเสื่อม
           7.การรักษาโรคตาที่เรียกว่าเอเอ็มดี (เสื่อมสภาพตามอายุ) เมื่อใช้กับยาอื่น ๆ คือ เหล็ก(Zinc) วิตามินอี และ เบต้า แคโรทีน(beta-carotene) แต่ถ้าขาดเหล็กดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผล
            8.ลดโปรตีนในปัสสาวะของผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 (albuminuria)  อาจช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไตอย่างรุนแรง
            9.ใช้วิตามินซี 500 มิลลิกรัมต่อวันหลังจากที่ออกกำลังกายอย่างหนักเช่น วิ่งมาราทอน สามารถลดการติดเชื้อในปอดที่เกิดจากการออกกำลังกายอย่างหนักได้ 
          10.การป้องกันไม่ให้ “การแข็งตัวของหลอดเลือดแดง” (atherosclerosis)
ลดไวรัสโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องของมนุษย์ (HIV) โดยการส่งผ่านแม่สู่ทารกแรกเกิด เมื่อกินด้วยวิตามินบีและอี
          11.ลดสารตะกั่วในเลือดโดยการรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง
           12.ปรับปรุงประสิทธิภาพทางกายภาพและความแข็งแรงในผู้สูงอายุ

        วิตามิน ซี 60 mg  มีอยู่ใน ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare)
     
 ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง
     การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ในรายที่อ้วนมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้



          จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

ปวดข้อ สารสกัดจากขมิ้น และจ้อนท์แคร์ (jontkare)

  
            ประโยชน์ และสรรพคุณขมิ้นชัน



ในขมิ้นชันมีวิตามินเอ วิตามิน ซี และวิตามินอี ซึ่งวิตามิน ทั้ง 3 ตัวนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายแล้วจะทำงานได้ ต้องมีพร้อมกันทั้ง 3 ตัว ส่งผลให้การทำงานของร่างกายดีขึ้น ขมิ้นชันมีประโยชน์ คือ
 1.ช่วยลดไขมันในตับ
2.สมานแผลภายในกระเพาะอาหาร
3.ช่วยย่อยอาหาร
4.ทำความสะอาดให้ลำไส้
5.เปลี่ยนไขมันให้เป็นกล้ามเนื้อ
6.ต้านอนุมูลอิสระป้องกันการเกิดมะเร็งในตับ
7.สร้างภูมิคุ้มกันให้กับผิวหนัง
8.กำจัดเชื้อราที่ปนเปื้อนในอาหารที่กินเข้าไปแล้วสะสมในร่างกายเตรียมก่อตัวเป็นเซลล์มะเร็ง
9.ช่วยขับน้ำนมสำหรับสตรีหลังคลอดบุตรได้ดี รองมาจากการกินหัวปลี

    สารสกัดจากขมิ้น มีอยู่ใน ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare)



       ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง

     การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ในรายที่อ้วนมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้



          จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line :   bua300908

อีเมล์    sboonmuen@gmail.com    

ขิง ปวดข้อ และจ้อนท์แคร์ (jontkare)

      สรรพคุณของสารสกัดจากขิง
   
        ขิงมีประโยชน์ต่อสุขภาพอย่างมาก ขิงมีรสร้อน จึง ช่วยขับเหงื่อ ไล่ความเย็น ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยให้เจริญอาหาร และทำให้ร่างกายอบอุ่น ในทางยานิยมใช้ขิงแก่ เพราะขิงยิ่งแก่จะยิ่งเผ็ดร้อนและจะมีใยอาหารมาก




     1. รักษาอาการคลื่นไส้อาเจียนโดยนำขิงแก่สด ประมาณ 2-3 เหง้ามาทุบพอแตกต้มกับน้ำ
     2. รักษาไข้หวัด โดยนำขิงแก่สด 7 กรัม และขิงแห้ง 2 กรัม ต้มกับน้ำตาลทรายแดง ดื่มเพื่อรักษาอาการ หรือใช้ขิงแก่ 2-3 เหง้า นำมาทุบให้ละเอียดต้มกับน้ำอาบเพื่อขับเหงื่อลดอาการไข้เนื่องจากหวัด
     3. รักษาอาการไอ ขับเสมหะ โดยนำขิงสดมาคั้นน้ำให้ได้ประมาณครึ่งถ้วย ผสมน้ำผึ้งประมาณ 1 ช้อนชา ต้มกับน้ำ 2 ถ้วย ดื่มวันละ 3 ครั้ง หรือใช้ขิงสดฝนกับมะนาวเติมเกลือเล็กน้อย ใช้กวาดคอหรือจิบบ่อยๆ
     4. รักษาอาการปวดประจำเดือนในช่วงก่อนหรือระหว่างมีประจำเดือน โดยนำขิงแห้งประมาณ 30 กรัม ต้มกับน้ำ ดื่มบ่อยๆ
     5. แก้อาการท้องเสีย ท้องร่วง โดยใช้ขิงแห้งบดชงกับน้ำอุ่น ดื่มวันละ 1 ครั้ง
     6. รักษาแผลที่เกิดจากไฟไหม้หรือถูกน้ำร้อนลวก โดยตำขิงสดให้ละเอียด นำกากมาพอกที่แผลเพื่อบรรเทาอาการอักเสบเป็นหนอง
     7. รักษาอาการปวดฟัน โดยนำขิงแก่ทุบให้ละเอียดคั่วกับน้ำสารส้มจนเกรียม แล้วบดจนเป็นผงพอกบริเวณ


     การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก คนที่อ้วนมาก ก็ช่วยลดแรงน้ำหนักตัวที่กระทำต่อข้อได้เช่นกัน นอกจากนี้การใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้

          จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว   บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line : bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

โรคข้อเสื่อม ปวดข้อ พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเสื่อม และจ้อนท์แคร์ (jontkare)

 

         พฤติกรรมเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้อเสื่อม 



     พฤติกรรมเสี่ยงต่อปัญหาสุขภาพกระดูก ทำลายกระดูก และโรคกระดูกเสื่อมที่ควรหลีกเลี่ยง 
     1.ท่านั่ง
      1)นั่งไขว่ห้าง จะทำให้เกิดการกดทับน้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่งเป็นผลให้กระดูกคดและโค้งงอ โดยเฉพาะ กระดูกสันหลังและบริเวณอุ้งเชิงกราน ทำให้มีอาการปวดคอและหลังตามมา

     2)นั่งกอดอก จะทำให้กระดูกหลังช่วงบนสะบักและหัวไหล่ถูกยืดออก ผลก็คือหลังช่วงบนจะงองุ้มและกระดูก ช่วงคอยื่นไปข้างหน้า มีผลต่อการทำงานของเส้นประสาทที่ไปหล่อเลี้ยงที่แขน และอาจเป็นเหตุให้กล้ามเนื้อที่มืออ่อนแรงและเกิดอาการชา ทั้งนี้ หากกระดูกช่วงคอเกิดการผิดรูป ก็จะทำให้กล้ามเนื้อคอหดเกร็ง และส่งผลเสียต่อการทำงานของหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงสมอง นำไปสู่อาการปวดศีรษะเรื้อรังหรือไมเกรนได้  
      3)นั่งหลังงอหรือหลังค่อม การนั่งในท่าเดิมติดต่อกันเป็นเวลานาน เช่นการทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ จะทำให้กล้ามเนื้อเกร็งค้าง จะก่อให้เกิดการคั่งของกรดแลคติก ส่งผลให้เกิดอาการปวดเมื่อยที่บริเวณหัวไหล่ และสะโพก ทำให้กระดูกผิดรูปอีกด้วย  
     4)นั่งบนเก้าอี้โดยไม่พิงพนักหรือนั่งไม่เต็มก้น การนั่งในลักษณะนี้ ทำให้ฐานในการรับน้ำหนักตัวน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ส่งผลให้กล้ามเนื้อที่หลังทำงานหนักกว่าปกติ และเกิดเป็นผลเสียต่อกระดูกสันหลัง ทางที่ดีนั้น ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น พร้อมเอนหลังไปที่พนักพิง เพื่อให้ร่างกายถ่ายน้ำหนักบางส่วนไปที่เก้าอี้ แทนที่จะทรงตัวด้วยกระดูกสันหลังเท่านั้น
      2.ท่ายืน
    1)ยืนหลังค่อมหรือแอ่นตัวไปข้างหน้า จะทำให้ปวดหลังและเกิดความผิดปกติของแนวกระดูกช่วงล่าง การยืนหลังตรง และเกร็งหน้าท้องเล็กน้อยจะดีที่สุด
    2)ยืนโดยลงน้ำหนักไปที่ขาข้างใดข้างหนึ่ง การยืนในลักษณะนี้จะส่งผลเสียต่อขาข้างที่ได้รับการทิ้งน้ำหนัก นำไปสู่อาการปวดและเป็นตะคริวได้ ท่ายืนที่ถูกต้องนั้น ควรยืนให้ขากว้างเท่ากับสะโพกโดยลงน้ำหนักไปที่ขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กัน เพื่อความสมดุลของร่างกาย
       3.แฟชั่นอันตราย
       1)ใส่รองเท้าส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง สำหรับสุภาพสตรีการใส่ส้นสูงอาจช่วยเสริมสร้างบุคลิกให้ดูสง่าขึ้นแต่ข้อเสียก็คือการใส่รองเท้าที่สูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังที่เกิดจากความผิดปกติของแนวกระดูกสันหลังได้



      2)สะพายกระเป๋าหนักเพียงข้างเดียว กระเป๋าสะพายกับผู้หญิงนับเป็นของคู่กัน แต่หากใช้กระเป๋าที่หนักจนเกินไป และสะพายไว้บนไหล่เพียงข้างเดียว อาจทำให้เกิดการเจ็บปวดบริเวณหัวไหล่ เนื่องจากกล้ามเนื้อ และกระดูกต้องรับน้ำหนักมากจนทำให้กระดูกคดงอได้ วิธีที่เหมาะสม คือ เลือกใช้กระเป๋าน้ำหนักเบา บรรจุของในกระเป๋าแต่พอดี และสลับด้านสะพายระหว่างข้างซ้ายและขวาให้เท่า ๆ กัน
        4.ท่านอน
          1)นอนคว่ำ โดยเฉพาะการนอนคว่ำเพื่ออ่านหนังสือ เป็นสิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้กระดูกสันหลังแอ่นมากจนผิดปกติ ทั้งยังก่อให้ เกิดอาการปวดคอและปวดหลังอีกด้วย
          2)นอนขดตัวคุดคู้ การนอนหดแขนและขาจะทำให้กระดูกสันหลังบิดงอผิดรูป และเกิดอาการเจ็บที่กล้ามเนื้อได้ ท่านอนที่ถูกต้องนั้น แนะนำให้นอนหงายและใช้หมอนหนุนศีรษะที่ไม่แข็งหรือนิ่มจนเกินไป และหลีกเลี่ยงการนอนบนหมอนที่สูงเกินไป  
          3)นอนดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ คนทั่วไปมักติดนิสัยนอนเอนหลังดูโทรทัศน์หรืออ่านหนังสือ ส่วนใหญ่มักเป็นท่ากึ่งนั่งกึ่งนอนไถลตัวไปบนโซฟาหรือเตียงนอน ทำให้ต้องงอลำคออันอาจเป็นผลให้กระดูกคอสึก และเกิดอาการปวดหลัง เพราะกระดูกหลังแอ่น

        5.เครื่องดื่มควรระวัง

          1)น้ำอัดลม เนื่องจากน้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริกเป็นส่วนประกอบ การดื่มเป็นประจำติดต่อกันจึงก่อให้เกิดการสะสมของกรดฟอสฟอริกมากขึ้น มีผลให้ระดับแคลเซียมในร่างกายลดต่ำลง จนอาจนำไปสู่ภาวะกระดูกพรุนได้

          2)เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ส่งผลในทางอ้อมต่อระดับแคลเซียมในร่างกาย ด้วยการทำให้ปริมาณวิตามินดีลดต่ำซึ่งทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดต่ำลงด้วย ทั้งยังไปเพิ่มการขับแมกนีเซียมออกจากร่างกาย

          3)กาแฟ มีงานวิจัยระบุว่าการดื่มกาแฟเกินกว่าวันละ 2 ถ้วย จะเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติการของกระดูกเปราะบางได้เนื่องจากสารคาเฟอีนในกาแฟ จะกระตุ้นให้ร่างกายขับแคลเซียมออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น


      การจะมีสุขภาพกระดูกที่แข็งแรงได้นั้น ต้องใส่ใจดูแลกระดูกอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ วันไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด



       ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง



   จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้



ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งสินค้าคลิกที่นี้

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น  

โทร. 088 415 3926

ID Line :   bua300908

อีเมล์  sboonmuen@gmail.com    

วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

โรคเก๊าท์ ปวดข้อ โรคเก๊าท์รักษาอย่างไร และจ้อนท์แคร์ (jontkare)


โรคเก๊าท์รักษาอย่างไร




การเกิดของโรคเก๊าท์มีส่วนที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการทำงานของไต เนื่องจากไตเป็นอวัยวะสำคัญที่ทำหน้าที่ในการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย หากไตอยู่ในสภาวะปกติ ไตก็จะสามารถทำงานในการขับกรดยูริคได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อไตไม่สามารถทำงานได้ปกติ หรือ ภาวะไตอ่อนแอ ทำให้ขับกรดยูริคออการ่างกายได้น้อย ทำให้เกิดการสะสมของกรดยูริคในร่างกายเพิ่มขึ้นๆ เมื่อไปสะสมในข้อต่อต่างๆ จะทำให้เกิดอาการบวมและเกิดการปวด และกลายเป็นโรคเก๊าท์ตามมา


อาหารกับโรคเก๊าท์
       ผู้ป่วยที่เป็นโรคเก๊าท์ ควรหลีกเลี่ยงอาหารจำพวก ตับอ่อน (Sweetbreads) ตับ เซ่งจี๊ ม้าม และลิ้น เพราะอาหารกลุ่มดังกล่าวจะมีธาตุอาหารพิวรีน (Purines) สูง นอกเหนือไปจากนี้แล้วก็ไม่มีกฎตายตัวอะไรสำหรับผู้ป่วยด้วยโรคเก๊าท์ ผู้ป่วยบางรายอาจรับประทานได้เช่นปกติ แต่บางรายอาจต้องจำกัดการรับประทานพวกธาติอาหารพิวรีนดังกล่าว สุดแต่แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินว่าท่านจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ต้องการหรือต้องจำกัด หรือต้องงดอาหารประเภทใดบ้าง ก็ขอให้ท่านปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และข้อแนะนำในการจำกัดสารอาหารพิวรีน



อาหารที่ผู้ป่วยด้วยโรคเก๊าท์ต้องงด
   1.พวกเครื่องในสัตว์ เช่น ตับ ตับอ่อน หัวใจ ไส้ สมอง เซ่งจี๊
   กะปิ
   2.ปลาซาดีน, ปลาซาดีนกระป๋อง
   3.ไข่ปลา
   4.น้ำซุบสกัดจากเนื้อสัตว์, น้ำเคี่ยวเนื้อ (Meat extracts)
   5.น้ำเกรวี (Gravies)

อาหารที่ผู้ป่วยด้วยโรคเก๊าท์ต้องลด (ต้องจำกัด)
   1.เนื้อสัตว์ (เหลือวันละมื้อ)
   2.ปลาทุกชนิด และอาหารทะเลอื่น ๆ เช่น กุ้ง หอย ปู (เหลือวันละมื้อ)
   3.เบียร์ และเหล้าต่าง ๆ
   4.ถั่วบางอย่าง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลันเตา
   5.ผักบางอย่าง เช่น หน่อไม้ฝรั่ง, แอสพารากัส, กระหล่ำดอก, ฝักขม, เห็ด
   6.ข้าวโอ๊ต
   7.ข้าวสาลีที่ไม่ได้สีเอารำออก (Whole-wheat cereal)

สมุนไพรรักษาโรคเก๊าท์
แพทย์จีนได้มีการค้นพบว่า สมุนไพรรักษาโรคเก๊าท์ ที่มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงไต คือ เก๋ากี๋ เส็กตี่ และ สูตี้หวง ตัวสมุนไพรทั้ง 3 ชนิดนี้ จะเข้าไปช่วยบำรุงไตที่อ่อนแอ ให้กลับมาแข็งแรง และช่วยระบายของเสียออกจากร่างกาย รวมทั้งกรดยูริคที่เป็นสาเหตุของโรคเก๊าท์ แต่ก็ยังมีสมุนไพนไทยที่ยังช่วยเกี่ยวกับโรคเก๊าท์ได้บ้าง เช่น ใบย่านาง ใบยอ และลูกเดือย เป็นต้น ซึ่งสมุนไพรที่จะสามารถรักษาหรือบรรเทาอาการของโรคเก๊าท์อย่างได้ผลนั้น จำเป็นที่จะต้องเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการช่วยบำรุงไต 
1. เก๋ากี๋ สรรพคุณช่วยบำรุงตับและไต บำรุงสายตา
ใช้รักษากลุ่มอาการตับและไตพร่อง สมุนไพรที่มีสรรพคุณบำรุงตับและไต บำรุงสารจำเป็น และเลือด บำรุงสายตา รักษาเบาหวาน ถ้าไตพร่อง ปวดเอว ฝันเปียก วิงเวียน มักใช้ร่วมกับสมุนไพรสูตี้หวง

2.เส็กตี้อึ้ง สรรพคุณ บำรุงเลือด บำรุงยิน บำรุงสารจำเป็น บำรุงไขกระดูก มีข้อบ่งใช้
1. เลือดพร่อง ใบหน้าซีดเหลือง วิงเวียน ใจสั่น นอนไม่หลับ ระดูผิดปกติ
2. ไตพร่อง มีไข้ตอนบ่ายค่ำ ไข้เข้ากระดูก เหงื่อออกตอนกลางคืน ฝันเปียก เบาหวาน
3. ตับไตพร่อง สารจำเป็นและเลือดพร่อง ปวดเมื่อยเอวเข่า วิงเวียน หูมีเสียงดัง ผมหงอกก่อนวัย สมุนไพรนี้มีสรรพคุณบำรุงสารจำเป็น และไขกระดูก มักใช้ร่วมกับเก๋ากี๋

 3. ต้าเจ่า สรรพคุณ บำรุงจงเจียว บำรุงลมปราณ บำรุงเลือด ป้องกันโลหิตจาง ไขมันในเลือดสูง กล่อมประสาท ปรับฤทธิ์ยาให้อ่อนโยน มีข้อบ่งใช้
1. ม้ามพร่อง เบื่ออาหาร ท้องเดิน อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ถ่ายเหลว
2. เลือดพร่อง ซีดเหลือง เลือดไม่พอหล่อเลี้ยงอวัยวะภายใน กระวนกระวาย หงุดหงิด เลือดพร่องซีดเหลือง
3. ใช้เป็นส่วนประกอบของตำรับยาต่างๆ เพื่อช่วยปรับลดความรุนแรง ของยาอื่น ปกป้องลมปราณต้านทานโรค

      MIR ขอเสนอ "ปู่ จิง ตัน"  เป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้กับผู้ที่เป็นโรคเก๊าท์ หรือมีกรดยูริคในร่างกายสูง เนื่องจาก "ปู่ จิง ตัน" เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเอา สมุนไพรรักษาเก๊าท์ ที่มีสรรพคุณในการบำรุงไตให้แข็งแรง ช่วยลดกรดยูริคในร่างกาย ช่วยในด้านระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก ระบบประสาท ระบบทางเดินอาหาร ระบบภูมิต้านทาน ระบบทางเดินหายใจ ระบบสืบพันธ์ุ
ในทางการแพทย์แผนจีน จึงให้ความสำคัญกับไตในการทำหน้าที่ขับกรดยูริคออกจากร่างกาย และความสำคัญของการรักษาโรคเก๊าท์ จึงอยู่ที่การใช้ยาสมุนไพรบำรุงไตให้แข็งแรงมีศักยภาพในการขับกรดยูริคและปรับสภาพเลือด ให้ผลึกของกรดยูริคที่สะสมตามข้อสามารถละลายออกมาผู้ป่วยโรคเก๊าท์ก็จะหายเป็นปกติได้  ส่วนผู้ที่ไม่เป็นโรคเก๊าท์ แต่ตรวจพบว่ากรดยูริคสูงในเลือดสูงก็สามารถรับประทานได้โดยไม่มีอันตราย



วงการแพทย์พบว่า กรดยูริคในเลือดที่สูงกว่าร้อยละ 90 เกิดจากร่างกายผลิตเอง MIR ขอเสนอ "ปู่ จิง ตัน"  และ จ้อนท์แคร์ (jontkare) ลดความเสี่ยงและบรรเทาความเสื่อมของข้อและโรคเก๊าท์จากกรดยูริค



ส่วนประกอบสำคัญในจ้อนท์แคร์ (jontkare) 
   1.ผงกระดูกอ่อนจากปลาฉลาม มีสาระสำคัญ ได้แก่ กลูโคซามีนและคอนโดอิทินซัลเฟต เป็นสารที่มีความสำคัญมากต่อข้อต่อและเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน ซึ่งในกระดูกอ่อนปลาฉลามมีสาระสำคัญได้แก่
     -กลูโคซามีน มีหน้าที่สร้างโมเลกุลที่ซับซ้อน เพื่อใช้ในการซ่อมแซมและหล่อเลี้ยงกระดูกอ่อน โดยการเพิ่มน้ำไขกระดูก
     -คอนโดอีทิลซัลเฟต ซึ่งเป็นสารที่ทำหน้าที่เหมือนฟองน้ำ หรือเป็นส่วนประกอบส่วนใหญ่ของนวมที่ลดการเสียดสีของปลายกระดูกแข็งสองท่อน จึงทำให้มีคุณสมบัติดีเยี่ยมสำหรับบรรเทาอาการปวดข้อต่อต่างๆของร่างกายโดยเฉพาะข้อเข่า นอกจากนี้ยังสามารถช่วยชะลอการเสื่อมของเข่าได้ด้วย
   2.สารสกัดจากบลูเบอร์รี่ มีสารแอนโทไซยานิดีน ที่มีประสิทธิภาพในการลดและยับนั้งการสร้างลิวโคทรีนที่เป็นสาเหตุของการอักเสบ ทำให้อาการเจ็บปวดและอักเสบน้อยลง
   3.สารสกัดจากขิง ช่วยบรรเทาอาการปวดและบวมตามข้อ เนื่องจากขิงสามารถลดการสร้างฮอร์โมน พรอสตาแกลนดิน ซึ่งเป็นตัวเริ่มต้นที่ทำให้เกิดอาการอักเสบ
   4.สารสกัดจากขมิ้น มีสารเคอร์คูมินช่วยชะลอการสร้างพรอสตาแกลนดิน ซึ่งเกี่ยวข้องกับการระยับการอักเสบและปวดบวม โดยไปกระตุ้นต่อมหมวกไตให้หลั่งสารคอร์ติโวนเพื่อระงับการอักเสบและความปวด
     
      การป้องกันข้อเสื่อม ผู้ป่วยควรรู้จักการปฏิบัติตัวที่จะไม่ทำให้ข้อเสื่อมเร็วขึ้น เช่น การวิ่ง นังพับเพียบในรายที่มีข้อเข่าเสื่อม หลีกเลี่ยงการยกของหนัก ในรายที่อ้วนมาก ก็ช่วยลดน้ำหนักตัวลง เพื่อลดแรงที่กระทำต่อข้อลงได้ และการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ไม้เท้า จะช่วยลดการถ่ายแรงที่กระทำต่อข้อของขาได้


    ผลิตภัณฑ์ จ้อนท์แคร์ (jontkare) สามารถป้องกันและแก้ปัญหาโรคข้อเสื่อม ได้ผลจริง

   จ้อนท์แคร์ (jontkare) เป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดที่ให้ผลจากการรับประทาน 100% เห็นผลจริง รวดเร็ว ชัดเจน จึงขายดีที่สุดในขณะนี้

ปริมาณและราคา 1 ขวดบรรจุ 30 เม็ด ราคา 1,050 บาท

สั่งซื้อสินค้าคลิกที่นี้

ดูข้อมูลที่   http://jontkaresaibua.blogspot.com

สั่งซื้อและเป็นตัวแทนจำหน่ายที่

คุณ สายบัว  บุญหมื่น    โทร. 088 415 3926

ID Line :    bua300908

อีเมล์    sboonmuen@gmail.com